News and Articles

7 สิ่งใหม่ในการใช้รถ EV : สตาร์ตยังไง ทำไมเมารถ ?

calendar-iconSep 12, 2025
image
image
image
image
image
ตัวอย่างการกดปุ่มเพื่อแสดงให้เห็นว่ารถไฟฟ้าสตาร์ตยังไง

สาเหตุเมารถไฟฟ้า และข้อควรรู้เมื่อเปลี่ยนมาใช้ EV

การเปลี่ยนจากการขับขี่รถยนต์สันดาปมาใช้รถไฟฟ้า (EV) อาจทำให้หลายคนรู้สึกประหลาดใจหรือเกิดข้อสงสัยเมื่อต้องเจอกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย เช่น ปุ่มสตาร์ตและคันเกียร์รถไฟฟ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ ? หรือแม้แต่ทำไมการนั่งรถไฟฟ้าถึงทำให้รู้สึกเมารถง่ายขึ้น 

 

นั่นเป็นเพราะว่ารถไฟฟ้ามีเทคโนโลยีที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป ดังนั้น การรู้จัก ทำความเข้าใจ และปรับตัวให้ไวเข้ากับระบบการขับขี่ใหม่ ๆ ของรถไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การขับขี่รถ EV ที่สนุกสนานและปลอดภัยมากขึ้น และนี่คือ 7 สิ่งใหม่ ๆ ที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามือใหม่ต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

1. นั่งรถไฟฟ้าแล้วเวียนหัวเมารถง่ายจากระบบ Pedal Brake

หนึ่งในความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างรถสันดาปกับ EV คือระบบ Pedal Brake หรือ Regenerative Braking ระบบชาร์จไฟกลับเมื่อแตะเบรก ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า

 

การทำงานของระบบนี้คือเมื่อเรายกเท้าออกจากคันเร่ง รถจะไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างอิสระเหมือนรถยนต์น้ำมัน แต่จะมีการหน่วงความเร็วเพื่อเปลี่ยนพลังงานจลน์ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ให้กลับไปเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อชาร์จเข้าแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ ซึ่งการหน่วงนี้ทำให้เกิดอาการกระตุกหรือชะลอตัวอย่างทันทีทันใดในขณะขับขี่หรือเมื่อผู้ขับขี่ลดความเร็วลงอย่างกะทันหัน เป็นสาเหตุว่าทำไมนั่งรถไฟฟ้าแล้วรู้สึกเวียนหัว หรือที่เรียกว่าอาการเมารถไฟฟ้านั่นเอง

 

เบื้องต้นอาการเมารถไฟฟ้าสามารถแก้ได้ด้วย 3 แนวทางง่าย ๆ ได้แก่

 

• เรียนรู้การใช้งานคันเร่งอย่างนุ่มนวล ฝึกบังคับความเร็วของรถให้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ใช่การแตะและยกเท้าออกจากคันเร่งอย่างรวดเร็ว
• ปรับระดับการหน่วงของระบบ Regenerative Braking ให้เหมาะกับสไตล์การขับขี่ของคุณ
• ใช้เบรกเท้าเมื่อต้องการชะลอความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วยให้การชะลอตัวนุ่มนวลขึ้นและลดอาการกระตุกได้

 

2. สับสนระหว่างการเปลี่ยนเกียร์กับไฟเลี้ยว

ปัญหาคลาสสิกที่คนขับรถยนต์น้ำมันหลายคนเจอ คือตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวและคันเกียร์รถไฟฟ้า ที่ทำให้รู้สึกสับสนได้เมื่อใช้งานรถ EV ใหม่ ๆ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนรูปแบบคันเกียร์ไปจากเดิม มีทั้งแบบปุ่มกด, แบบแป้นหมุน หรือแบบก้านที่อยู่ใกล้กับพวงมาลัย ทำให้ผู้ขับขี่สับสนและเผลอไปกดเกียร์แทนที่จะเปิดไฟเลี้ยว

 

ก่อนขับขี่รถ EV คันใหม่ จึงควรใช้เวลาศึกษาตำแหน่งและการทำงานของเกียร์อย่างละเอียดในพื้นที่เปิดโล่ง เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับตำแหน่งคันเกียร์รถไฟฟ้า ป้องกันความสับสน และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

 

3. งุนงงหาช่องเสียบกุญแจหรือปุ่มสตาร์ตรถไม่เจอ

การจะสตาร์ตรถแต่ละครั้ง อาจเป็นปัญหาสำหรับมือใหม่หัดขับรถ EV เพราะกุญแจและระบบสตาร์ตของรถยนต์ไฟฟ้าแตกต่างจากรถยนต์น้ำมันทั่วไปโดยสิ้นเชิง ส่งผลให้มือใหม่หลายคนมีคำถามว่ารถไฟฟ้าสตาร์ตยังไง หรือปุ่มสตาร์ตรถไฟฟ้าอยู่ไหน ซึ่งโดยทั่วไปรถ EV ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจเสียบเพื่อสตาร์ตเครื่อง เพียงแค่พกกุญแจไว้กับตัว ก็สามารถปลดล็อกและสตาร์ตเครื่องได้ทันที

 

ส่วนตำแหน่งของปุ่มสตาร์ตรถไฟฟ้าอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น บางรุ่นอาจอยู่ใกล้กับพวงมาลัย บางรุ่นอาจอยู่ใกล้กับคอนโซลกลาง หลังกดปุ่ม ให้สังเกตสัญลักษณ์บนหน้าจอ เช่น คำว่า Ready หรือพร้อมใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่ารถพร้อมที่จะขับเคลื่อนแล้ว

 

4. ตกใจเมื่อแอร์ติดเองหรือดับเองจากระบบควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากตำแหน่งเกียร์และปุ่มสตาร์ตแล้ว ผู้ใช้รถ EV มือใหม่หลายคนอาจตกใจเมื่อพบว่าแอร์ในรถยนต์ไฟฟ้าทำงานโดยอัตโนมัติถึงแม้จะไม่ได้ขับรถอยู่ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เรียกว่า Cabin Preconditioning หรือการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาหรือตั้งค่าให้ระบบแอร์ทำงานล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้ห้องโดยสารมีอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนที่คุณจะเข้าไปนั่ง ถือเป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับเมืองร้อนอย่างประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง

 

ยิ่งไปกว่านั้น รถ EV ยังจำเป็นต้องรักษาระดับอุณหภูมิของแบตเตอรี่ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด หากแบตเตอรี่ร้อนเกินไป ระบบระบายความร้อนจะทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจมีเสียงพัดลมหรือระบบแอร์ทำงานถึงแม้รถจะไม่ได้ใช้งานก็ตาม

 

ผู้ชายนำรถ EV ไปแคมป์ปิงโดยใช้บริการเช่ารถกทม.รายวันกับ EVme

 

5. ไปแคมป์ปิงหรือเดินทางไกล สามารถนอนพักในรถได้โดยไม่ต้องดับเครื่อง

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าที่แตกต่างจากรถยนต์น้ำมันอย่างชัดเจน คือคุณสามารถเปิดแอร์นอนพักผ่อนในรถได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องควันพิษจากท่อไอเสียเหมือนรถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งการทำงานของระบบปรับอากาศในรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่หลัก ทำให้ไม่มีเสียงรบกวนเหมือนการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ อีกทั้งรถ EV บางรุ่น ยังมีโหมดตั้งแคมป์ (Camp Mode) ที่สามารถรักษาระดับพลังงานของแบตเตอรี่และระบบปรับอากาศเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วย

 

6. แปลกใจกับความเงียบระหว่างการขับขี่

ความเงียบขณะขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้ใช้งานรถ EV มือใหม่จำนวนมาก เพราะไม่มีเสียงเครื่องยนต์จากการเผาไหม้น้ำมันมารบกวน ทำให้เหลือเพียงเสียงจากยางรถยนต์เสียดสีกับพื้นถนนหรือเสียงลมปะทะ ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายและเงียบสงบ ช่วยให้คุณได้ยินเสียงผู้โดยสารหรือเสียงดนตรีภายในรถได้อย่างชัดเจน เป็นประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

 

7. ต้องวางแผนการเดินทางอย่างรัดกุมและติดตามสถานะแบตเตอรี่ตลอดเวลา

สุดท้าย การเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและติดตามสถานะแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีพลังงานเพียงพอสำหรับการเดินทาง ก่อนออกเดินทางจึงต้องตรวจสอบเส้นทางและหาตำแหน่งของสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมดระหว่างทาง และคำนวณระยะทางล่วงหน้าเสมอ เพื่อประเมินความถี่ในการชาร์จได้อย่างแม่นยำ

 

อยากทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างความคุ้นชินให้ทั้งคนขับและผู้โดยสาร สามารถเช่ารถไฟฟ้ารุ่นที่คุณสนใจได้สะดวกที่แอปพลิเคชัน EVme ผู้ให้บริการเช่ารถ กทม. รายวันและรายเดือน มีรถไฟฟ้าจากแบรนด์ชั้นนำให้เปรียบเทียบและเลือกเช่าหลากหลายรุ่น พร้อมให้คำแนะนำด้านการใช้งานอย่างใกล้ชิดโดยเจ้าหน้าที่และทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ สร้างความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อในอนาคต

 

ดาวน์โหลดแอปฯ ฟรีได้แล้ววันนี้ ทั้งระบบ iOS และ Android แอปฯ เดียวครบทุกบริการเกี่ยวกับรถไฟฟ้า พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าที่ซื้อและเช่ารถไฟฟ้ากับ EVme โดยเฉพาะ หรือนัดหมายเพื่อทดลองขับและรับคำแนะนำจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ EVme Mobility Studio ได้เลย

 

ข้อมูลอ้างอิง

1. ใครเป็นบ้าง นั่งรถไฟฟ้าเมาง่ายกว่ารถน้ำมัน เรื่องจริงการศึกษาชี้. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 จาก https://www.tnnthailand.com/health/208159/